Witch of Theatre AND The Ink of Truth * Cinderella
เคยฟังนิทานไหม...ชอบเทพนิยายหรือเปล่า...แล้วเรื่องเล่าล่ะ...ตำนานด้วย...
เจ้าคงเคยฟังมาหมดแล้วสินะ...ที่ข้าจะถามจริงๆก็คือ...
เจ้า...เชื่อเรื่องพวกนี้หรือเปล่า...
Witch of Theatre AND The Ink of Truth * Cinderella
ข้าหลับตาสูดดมกลิ่นหอมของใบชาในแก้วเคลือบที่ยกขึ้นจรดริมฝีปาก ในห้องสีขาวโล่งๆที่มีเพียงเก้าอี้ไม้บุนวมขนาดใหญ่สองตัวหันหน้าเข้าหากันและคั่นด้วยโต๊ะกลม บนโต๊ะคือเซ็ทกาน้ำชาลายครามที่ข้าชอบเป็นพิเศษกับขนมอบบนจาน
และผู้ที่จับจองเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของข้า...
คือชายหนุ่มผมสีดำที่ร่อนเร่ไปทั่วหาหลักแหล่งไม่เจอ มีเอกลักษณ์ที่เสื้อโค้ทยาวสีกรมท่าเข้มกับใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเหมือนจะจริงจังกับชีวิตซะทุกเรื่อง...ชายที่ได้สมญานามว่า
Inchiostro della Verità
น้ำหมึกแห่งความจริง
“ผมไม่มีเวลาว่างมานั่งจิบชากับคุณหรอกนะ Strega del Teatro”
ใช่... Strega del Teatro คือชื่อของข้า...แม่มดแห่งบทละครและเรื่องเล่า
“จริงๆแล้วเจ้าเรียกข้าว่า จูเลียต ก็ได้นะ”
“ผมบอกแล้วนะว่าผมรีบ”
เขาหยิบนาฬิกาสายโซ่สีเงินวับขึ้นมาเหลือบมองก่อนจะปิดฝาและเก็บลงในกระเปาเสื้อโค้ทด้านใน
“นั่งร่วมโต๊ะกับสุภาพสตรีแล้วดูนาฬิกานี่เป็นเรื่องเสียมารยาทมากนะจ๊ะ พ่อโรมีโอ”
“.....”
ใบหน้าเคร่งเครียดนั่น...ดูถ้าว่าจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นแฮะ
แต่ปกติแล้วเขาก็ดูยุ่งอยู่ตลอดเวลานี่นา...ในฐานะของผู้บันทึกความจริง
“ครั้งนี้มีเรื่องอะไรให้เจ้าต้องรีบถึงขนาดนั่งคุยกับข้าไม่ได้งั้นเหรอ”
“ก็เพราะนิสัยรักสนุกของแม่มดอย่างพวกท่านยังไงล่ะ ที่ทำให้ผมต้องเหนื่อยอยู่ทุกวี่ทุกวันน่ะ”
“ไม่ใช่รักสนุก...แต่เกลียดความเบื่อหน่ายต่างหาก...”
“Witch of World Library....”
“วาร์ล(Wowl)งั้นเหรอ...ครั้งนี้นางก่อเรื่องอะไรล่ะ”
Witch of World Library แม่มดที่อาศัยอยู่ในหอสมุดแห่งโลกที่เปรียบเสมือนคลังบันทึกทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ข้าเรียกชื่อนางสั้นๆว่า วาร์ล...เป็นแม่มดที่ขี้เล่น....เอ่อ...ขี้เบื่อพอดูเลย
“อยู่ดีๆนางก็นึกสนุกเอาปึกบันทึกของสงครามกรุงทรอยกับสงครามครูเสดมาวางชิดๆกันแล้วกรีดซะเหมือนไพ่...จนประวัติศาสตร์ของสองยุคนี้ซ้อนทับกันแบบแผ่นต่อแผ่น...ผมต้องรีบไปเรียงหน้าใหม่ก่อนที่ประวัติศาสตร์มันจะมั่วไปมากกว่านี้...ตอนนี้เละถึงขนาดกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอังกฤษแล้วเนี่ย”
ชายหนุ่มพูดอย่างหัวเสีย...
แต่ครั้งนี้วาร์ลก็ทำเกินไปหน่อยแฮะ...
“ครั้งที่แล้วข้าได้ยินมาว่า วาร์ลเอาบันทึกของ นิวตัน ไปแช่น้ำด้วยนี่”
“ใช่...ต้องมานั่งตากทีละแผ่นทีละแผ่นแบบระวังสุดชีวิตไม่ให้ขาดแม้แต่น้อย...ผมไม่รู้ว่านางเป็นแม่มดประจำหอสมุดได้ยังไงโดยที่ไม่รู้ว่าบันทึกของนิวตันสำคัญต่อมนุษยชาติขนาดไหน”
จริงๆแล้วข้าก็พอเข้าใจนะว่าทำไมวาร์ลถึงทำแบบนั้น...เป็นแม่มดคนเดียวในหอสมุดโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล
ข้าว่างนางก็คงเหงาอยากได้เพื่อนเหมือนกันแหละ เพียงแต่ไม่รู้จะทำยังไงเท่านั้นเอง...
แล้วคนที่นางสนิทด้วยมากๆก็เห็นจะมีแค่ชายหนุ่มหน้าเครียดคนนี้คนเดียวซะด้วยสิ
“ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าทำสักหน่อย”
“ว่ามา...”
“ช่วยบันทึกความจริงของนิทานเรื่องหนึ่ง”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เปิดนาฬิกาสีเงินของเขาขึ้นมาดูอีกครั้ง...
“ผมให้เวลาไม่เกินเศษ 1 ส่วน 17 ของเส้นรอบวงนาฬิกา...นิทานเรื่องไหน...”
“เอาล่ะ Inchiostro della Verità ข้า Strega del Teatro อยากให้เจ้าตีแผ่ความจริงของนิทานเรื่อง...”
“ซินเดอเรลล่า....”
“เป็นเทพนิยายปรัมปราเนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวกำพร้าผู้หนึ่งที่อยู่ในอุปถัมภ์ของแม่เลี้ยงกับพี่สาวบุญธรรมสองคน แต่ถูกทารุณและใช้งานเยี่ยงทาส ต่อภายหลังจึงได้พบรักกับเจ้าเมืองหรือเจ้าชายผู้สูงศักดิ์...ผมว่าเราปล่อยให้เรื่องนี้สวยงามต่อไปในความฝันของเด็กๆดีมั้ย”
หึ หึ....ข้าหัวเราะเบาๆและรินน้ำชาลงถ้วยเคลือบก่อนจะยื่นให้เขา
“รีบเริ่มได้แล้วครับ...”
ช่างเป็นชายหนุ่มที่รีบร้อนซะจริง…
ตกลง เรามาเริ่มกันเถอะ...
แต่ก่อนที่จะเริ่มข้าอยากอธิบายอะไรเล็กน้อยให้กับผู้เฝ้าสังเกตุการณ์เช่นเจ้าสักหน่อย...
เจ้า...ผู้กำลังอ่านบันทึกฉบับนี้ที่จะกลายเป็นหน้ากระดาษหนึ่งใน World Library
เจ้า...ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นสักขีพยานในการเขียนบันทึกความจริงของนิทานซินเดอเรลล่า
กฎในการเขียนบันทึกแห่งความจริงมีอยู่เพียงข้อเดียว...
นั่นคือ Inchiostro della Verità จะต้องใช้ตรรกะมาโต้แย้งทุกเรื่องที่เห็นว่าไม่สมเหตุสมผล
และตัวแปรอย่างเดียวที่เราจะใช้ตัดสินคือ....การโต้ตอบระหว่างข้าและ Inchiostro della Verità
“กาลครั้งหนึ่ง...เด็กสาวนามซินเดอเรลล่า...”
“เดี๋ยว...”
“ข้าพึ่งจะเริ่มเองนะ...เจ้ามีอะไรมาโต้แย้งแล้วงั้นเหรอ”
“ไม่เชิง...แต่...ชื่อจริงๆของเธอคือ เอลล่า(Ella) ส่วนซินเดอเรลล่า(Cinder Ella) เป็นชื่อฉายาที่แม่เลี้ยงกับพวกพี่ๆของเธอตั้งให้ต่างหาก”
อืม...นั่นสินะ...
Cinder Ella ชื่อที่แปลได้ว่า เอลล่าผู้มอมแมม
แค่นิดๆหน่อยก็ไม่ยอมเลยแฮะ...ชายหนุ่มตรงหน้าข้าจะจริงจังไปซะทุกเรื่องเลยหรือยังไงกัน
“ตกลง...เด็กสาวคนหนึ่งนามเอลล่า หลังจากแม่ของเอลล่าตายไป พ่อของเธอจึงแต่งงานใหม่...ทำให้เอลล่ามีแม่เลี้ยงกับพี่สาวสองคน...มีอะไรจะเสริมไหม”
“พี่สาวสองคนของเธอเป็นลูกติดของแม่เลี้ยง...และทั้งสามคนใจร้ายกับเธอ”
“อืม...ไม่ยอมดื่มชาที่ข้ารินให้...นี่เจ้าก็กำลังใจร้ายกับข้านะเนี่ย”
“เสียเวลาผมน่ะ...”
ข้าหัวเราะขบขันกับท่าทีของเขา...เป็นคนที่มีปฏิกริยาตอบสนองแบบแกล้งได้ไม่เคยเบื่อเลย
“วันหนึ่งแม่เลี้ยงกับพี่สาวของเธอไปงานเลี้ยงเต้นรำของเจ้าชายหนุ่มรูปงาม...แต่ทั้งสามคนไม่อณุญาตให้เอลล่าไป...เอลล่าจึงนั่งเศร้าอยู่ข้างเตาผิง...แต่แล้วก็มีนางฟ้าใจดีมาเสกชุดพร้อมกับรถม้าฟักทองให้เธอใช้ไปงานเลี้ยง...”
“อำนาจวิเศษและตัวตนที่เหนือกว่ามนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยตรรกะ...เพราะฉะนั้นผมไม่อณุญาตให้มีนางฟ้าหรือแม้แต่ชุดเสกกับรถม้าฟักทองนั่น...”
ชายหนุ่มตรงหน้าปฏิเสธตัวตนของนางฟ้า ทั้งๆที่เขานั่งคุยอยู่กับแม่มดอย่างข้าเนี่ยนะ...คิก คิก
เอาเถอะ...ถือว่าเป็นคนละเรื่องกัน
“ไม่มีปัญหา...แต่ว่า...เอลล่าจะเอาชุดจากไหนไปงานเลี้ยงล่ะถ้าไม่มีชุดสุดสวยจากปลายไม้เท้านางฟ้า”
“พี่สาวของเอลล่าเป็นที่รักของแม่มากจึงมีชุดสวยๆอยู่หลายชุด...เอลล่าก็แค่เปิดตู้เสื้อผ้าของพี่ๆแล้วหยิบมาเลือกสักชุดสองชุดก็พอ”
นี่เขากำลังทำลายภาพลักษณ์ของซินเดอเรลล่าผู้อ่อนโยนและงดงามในสายตาเด็กๆทั่วโลกเลยนะเนี่ย
“แล้วการเดินทางไปงานเลี้ยงล่ะ...เจ้าคงไม่บอกว่าเธอเดินไปหรอกนะ”
“ก็เช่ารถม้าแถวๆนั้น”
“เอลล่าผู้น่าสงสารจะมีเงินเหรอ...”
“เงินจากพ่อของเธอ...เงินสะสมของแม่ที่เสียไป...หรือแม้กระทั่งเงินสะสมที่ได้วันละนิดละหน่อย...เนื้อเรื่องไม่ได้กล่าวถึงส่วนนี้แม้แต่น้อยเพราะฉะนั้น มันเป็นไปได้”
ถ้าข้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าเอลล่าไม่ได้รับเงินจากพ่อ...ไม่มีเงินสะสมของแม่ และ ไม่ได้เก็บเงินวันละนิด
สมมติฐานของเขาก็สามารถยอมรับได้...
เหมือนกล่องแมวของ Schrödinger...ที่หากไม่เปิดออกดูก็ไม่สามารยืนยันได้ว่าแมวตายหรือเป็น
“ถึงจะเป็นเหตุผลแบบข้างๆคูๆก็เถอะ....แต่ข้าจะยอมรับละกันนะ”
“........”
“เอาล่ะ...ข้าจะขอข้ามฉากหวานแหววจนมดขึ้นของเอลล่ากับเจ้าชายมาที่คำถามที่ว่า...ทำไมเอลล่าถึงต้องออกจากงานเลี้ยงตอนเที่ยงคืนตรงล่ะ...ถ้าเอลล่ายืมชุดมาจากพี่ๆของเธอ ไม่ว่านาฬิกาจะตีกี่ครั้งชุดก็ไม่หายไปหรอกนะ”
“ไม่แปลกอะไร...ก็เพราะเอลล่าได้สบตากับพวกพี่ๆและแม่เลี้ยงของเธอโดยบังเอิญในงานเลี้ยง ถึงต้องรีบหนีออกมา”
อืม...ความเป็นไปได้สูง
เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยาก...แต่ว่า...
มันเป็นการปูทางไปสู่ปัญหาสำคัญต่างหาก
“หลังจากที่เจ้าชายวิ่งตามออกมาเขาพบรองเท้าใช่ไหม...”
“ใช่...”
“แล้วรองเท้าที่เอลล่าใส่เป็นรองเท้าที่ยืมมาจากพวกพี่ๆของเธอสินะ...”
“ท่านต้องการจะสื่ออะไร...”
“คิก...คิก...”
“.....”
ข้าอยากรู้เหลือเกินว่า Inchiostro della Verità จะโต้แย้งเรื่องนี้ยังไง
เพราะถ้าในเมื่อรองเท้านั่นเป็นของพี่สาวของเอลล่าล่ะก็
“นั่นหมายความว่าตอนที่เจ้าชายเอารองเท้ามาให้ลอง...พวกพี่ๆของเอลล่าก็ต้องเป็นคนที่มีรูปเท้าพอดีกับที่เจ้าชายเอามาให้สิ...ไม่ใช่เอลล่าสักหน่อย..”
“.....”
“ข้าหวังว่าเจ้าคงไม่บอกว่าเพราะเอลล่ากับพี่ๆมีขนาดเท้าเท่ากันหรอกนะ...ไม่งั้นเจ้าชายคงเลือกแต่งงานกับพี่ของเอลล่าแล้วล่ะเพราะในเนื้อเรื่องกล่าวว่า พวกพี่ๆได้ลองสวมรองเท้าข้างนั้นก่อนเอลล่า”
“.......”
ข้าตื่นเต้น...เฝ้ารอคำตอบของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม
เขาหลับตาลง....ก่อนคลี่ยิ้มบางๆออกมา
“หึ...หึหึ..”
“Strega del Teatro ท่านเคยอ่านนิทานฉบับอื่นของซินเดอเรลล่าหรือเปล่า...”
“ก็พอเคยได้ยินอยู่บ้างนะ...ทำไมเหรอ”
“ฉบับของ ชาร์ลส แปร์โรลต์ ที่โด่งดังมากที่สุด เขาเปลี่ยนคำจากตำนานเดิม vair (ขนสัตว์) เป็น verre (แก้ว) เพราะฉะนั้นรองเท้าที่เจ้าชายพบจริงๆแล้วเป็นรองเท้าขนสัตว์ต่างหาก...เป็นรองเท้าของเอลล่าเอง”
“เจ้าจะบอกว่าเอลล่าใส่รองเท้าขนสัตว์ถูกๆไปงานเลี้ยงเต้นรำงั้นเหรอ”
“ไม่...เอลล่าใส่รองเท้าคู่งามของพี่สาวเธอไป...”
เอลล่าใส่รองเท้าของพี่ไปงานเลี้ยง...
แต่รองเท้าที่ตกอยู่หน้าบันไดปราสาทเป็นรองเท้าขนสัตว์ของเอลล่า
นี่ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังจะเล่นอะไรกันน่ะ....
หึ...ดูเหมือนคนที่ทำให้ข้าสนุกสนานและตื่นเต้นไปกับการสนทนาบนโต๊ะนำชาได้ทุกครั้ง
คือ Inchiostro della Verità คนนี้สินะ
“ต้นฉบับแท้จริงของนิทานเรื่องซินเดอเรลล่าที่ถูกบันทึกไว้เมื่อยุคสมัยคลาสสิก...ในบันทึก จิโอกราฟิกาเล่ม 17 ฉบับของสตราโบ...”
“ต้นฉบับงั้นเหรอ....”
“ในบันทึกนั้นกล่าวไว้ว่า รองเท้าของลูกเลี้ยงถูกนกอินทรีคาบไปทิ้งไว้ที่เบื้องบาทของฟาโรห์ในนครเมมฟิส”
“เจ้าหมายความว่า...”
“ใช่...นกอินทรีคาบรองเท้าขนสัตว์ของเอลล่าไปเพราะคิดว่ามันเป็นเหยื่อมีชีวิต...และทิ้งไว้ที่หน้าบันไดปราสาทของเจ้าชายยังไงล่ะ”
ยอดเยี่ยมจริงๆ...
“คิก...คิกๆ....ฮะ ฮ่าๆๆ....ยอดเยี่ยม...ยอดเยี่ยมจริงๆ Inchiostro della Verità...ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะผูกเรื่องแบบนี้ได้”
“แปลว่าเรื่องนี้จบแล้วสินะ...”
“อืม...ข้า Strega del Teatro แม่มดแห่งบทละครและเรื่องเล่า...ยอมรับและอนุญาตให้ความจริงของนิทานซินเดอเรลล่าฉบบับของ Inchiostro della Verità ถูกบรรจุอยู่ใน World Library“
หลังจากที่ข้าพูดจบ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตน...
“ผมไปได้แล้วสินะ...”
ข้าชี้ไปที่นาฬิกาเรื่อยสีเงินที่เขาถืออยู่ในมือ
“นี่เกินเวลาไปเยอะแล้วเหมือนกันนะ...ข้าว่าป่านนี้ วาร์ล คงนั่งเบื่อจนเอาภาพเขียนของ ลีโอนาร์โด ดาร์วินชี มาเผาเล่นเพื่อดูสีของไฟแล้วล่ะมั้ง”
“ไม่ตลกนะ!!!”
ชายหนุ่มผู้ได้รับสมญานามว่าน้ำหมึกแห่งความจริง...ลุกขึ้นจนเก้าอี้ไม้บุนวมตัวใหญ่เกือบคว่ำ
ก่อนจะรีบเปิดประตูออกไปอย่างเร่งร้อน…
“หึ...หึหึ...”
“เอาล่ะ...ทีนี้ก็ถึงตาเจ้าแล้วนะ...ผู้เฝ้าสังเกตุการณ์”
“ข้าจะถามเจ้าด้วยคำถามเดิมเมื่อตอนต้นนะ...แต่คำตอบของเจ้าจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหนกัน”
“เจ้า....เชื่อในเรื่องพวกนี้หรือไม่...”
-----------------------------------------------------------